2 หยินหยางและธาตุทั้งห้า
ระบบในการพยากรณ์ทุกระบบล้วนต้องเริ่มต้นจากการตั้งสมมติฐานว่าทุกสิ่งย่อมเป็นไปตามกฎเกณฑ์ขั้นพื้นฐานหรือระบบของจักรวาล มีการค้นพบใจความสำคัญดังกล่าวอย่างมากในการศึกษาเรื่องทฤษฎีความปั่นป่วนและซับซ้อน (Chaos and Complexity) ทุกสรรพสิ่งไม่ว่าจะมีลักษณะซับซ้อนเพียงใดย่อมเป็นไปตามรูปแบบหรือแบบแผนพื้นฐาน
ความเชื่อนี้ถือเป็นพื้นฐานของจตุสดมภ์แห่งโชคชะตาอย่างแท้จริง ในระบบดังกล่าว เราเชื่อว่ามีแบบแผนพื้นฐานในโลกใบนี้ซึ่งควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง การเข้าใจในแบบแผนพื้นฐานดังกล่าวจะทำให้เราตั้งข้อสรุปได้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างไร ผู้คนจะประพฤติปฏิบัติในช่วงเวลานั้น ๆ อย่างไร ดังนั้นการเข้าใจเรื่องจตุสดมภ์แห่งโซคชะตาจึงจำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นจากคติจักรวาลของจีน
"ไท่จี๋" หรือวงกลมหยินหยาง คือพื้นฐานของทุกสรรพสิ่งบนโลก สัญลักษณ์นี้ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ที่ทันสมัยและสามัญในปัจจุบัน แต่น้อยคนนักที่จะเข้าถึงความสำคัญและความหมายโดยเนื้อแท้ของมัน
การเข้าใจไท่จี๋ เราจะต้องเริ่มจากวงกลมที่ว่างเปล่าที่เรียกว่า “อู่จี๋” ซึ่งมีความหมายว่า "ความว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง" อู่จี๋มาก่อนไท่จี๋ มีความหมายถึงสภาวะก่อนที่สิ่งต่างๆ จะถือกำเนิดขึ้นในจักรวาลซึ่งไร้แก่นสารและว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง จากนั้นไท่จี๋ก็เกิดขึ้นตามมา ซึ่งสื่อถึงสภาวะที่ทุกสรรพสิ่งมีสองด้าน ดังเช่น ผู้ชายและผู้หญิง ดำและขาว ดีและเลว สุขและทุกข์ ขึ้นและลง ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซ้ายและขวา ฯลฯ
แนวคิดที่ว่าโลกมีแต่ความว่างเปล่าและไร้แก่นสารโดยสิ้นเชิงก่อนที่จะมีการรับรู้ในเรื่องที่ว่าทุกสรรพสิ่งมีสองด้าน ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าเราเดินทางไปยังดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่มีผู้ชาย ไม่มีผู้หญิง ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว ไม่มีความสุข ไม่มีความทุกข์ ไม่มีขึ้น และไม่มีลง สถานที่เช่นนี้ถือว่าเป็นที่ที่ว่างเปล่าและไร้แก่นสาร แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้ในโลกที่ว่างเปล่าใบนี้ แต่เมื่อมีการรับรู้ว่าทุก ๆ สิ่งย่อมมีสองด้าน โลกใบนี้ก็จะมีชีวิตขึ้นด้วยความมีแก่นสาร มีชายและหญิง มีสุขและทุกข์ มีดีและเลว จากนั้นสิ่งต่างๆ ก็จะเกิดขึ้น และเช่นนี้เองที่ไท่จี๋กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นของโลกเช่นเดียวกับที่เป็นพื้นฐานของทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
สัญลักษณ์ไท่จี๋มี 2 ส่วน ส่วนสีขาวแทนหยาง (ชาย) และส่วนสีดำแทนหยิน (หญิง) รูปทรงของไท่จี๋เป็นรูปทรงกลม เป็นสัญลักษณ์ของความสอดประสานกันระหว่างหยาง (ชาย) และหยิน (หญิง) วงกลมนี้ไม่ได้แยกจากกันด้วยเส้นตรงผ่ากลาง แต่หยางและหยินถูกวาดให้มีลักษณะเหมือนปลาสองตัวที่ผสานรวมเข้าด้วยกันแทน โดยมีส่วนที่ใหญ่ที่สุดของหยางอยู่ด้านบนซึ่งมีความหมายถึงฟ้า และส่วนที่ใหญ่ที่สุดของหยินอยู่ด้านล่างแทนพื้นดิน หยางค่อยๆ เล็กลงมากลายเป็นหยิน ส่วนหยินก็ค่อยๆ เล็กขึ้นไปสู่หยาง รูปแบบเช่นนี้เป็นสัญลักษณ์ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหยางและหยินไม่ต่อต้านกัน ทั้งสองเหมาะสมและผสานเข้ากันอย่างลงตัว ภายในส่วนของหยางมีจุดสีดำ และภายในหยินมีจุดสีขาว เป็นสัญลักษณ์ว่าทั้งสองส่วนเข้ากันและไม่มีวันแยกจากกัน
แนวคิดเรื่องหยินหยางดูเหมือนง่ายแต่กลับแฝงนัยที่ลึกซึ้ง พัฒนาการของคอมพิวเตอร์ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมานำมาซึ่งการเข้าถึงเรื่องสัญลักษณ์ไทจี๋ในระดับที่ลึกยิ่งขึ้น คลังข้อมูลของคอมพิวเตอร์นำเอาระบบตัวเลขฐานสองคือ 0 และ 1 มาไช้ และระบบฐานสองนี้ก็เกิดจากแนวคิดเรื่องหยางและหยิน ด้วยการใช้หน่วยตัวเลข 0 และ 1 มารวมกันเป็นจำนวนมากทำให้เราสามารถเก็บข้อมูลที่ซับซ้อนทั้งหลายในโลกนี้ไว้ในคอมพิวเตอร์ สิ่งนี้คือปรัชญาของไท่จี๋ที่ว่าทุกสรรพสิ่งในจักรวาลมีรากฐานอยู่บนแนวคิดเรื่องหยางและหยิน นี่คือกฎเบื้องต้นซึ่งเป็นแบบแผนพื้นฐานแห่งจักรวาล และยังเป็นที่น่าสังเกตอีกว่าแนวคิดเรื่องไท่จี๋นี้ไม่เพียงแต่จะพบในระบบจักรวาลของจีนเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น ในคัมภีร์ไบเบิ้ล
เรื่องของอดัมและอีฟก็สื่อความหมายถึงเรื่องไท่จี๋ และเรื่อง "ดาวของเดวิด" ก็เช่นกันซึ่งที่จริงแล้วเกิดจากรูปสามเหลี่ยมสองอัน สามเหลี่ยมหงายขึ้นหมายถึงหยาง และสามเหลี่ยมคว่ำหมายถึงหยิน
เมื่อเปรียบเทียบระบบจักรวาลของจีนกับเรื่องดาราศาสตร์ของตะวันตก ไท่จี๋จะเหมือนปรากฏการณ์บิ๊กแบง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สิ่งต่างๆ เริ่มอุบัติขึ้น ในระบบจักรวาลของตะวันตก ก่อนที่จะเกิดบิ๊กแบง โลกใบนี้เป็นมวลวัตถุจุดเล็กๆ ที่อัดแน่นด้วยพลังงานมหาศาลและความร้อนสูงไม่มีที่สิ้นสุดเรียกว่าภาวะเอกภพ (Singularity) เมื่อเถิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นทำให้เกิดกาลเวลาและอวกาศ การขยายตัวของเอกภพทำให้อุณหภูมิลดลงและเกิดก๊าซต่าง ๆ เมื่ออุณหภูมิเย็นตัวลงในระดับที่ต่างกัน ก๊าซเหล่านี้จะควบแน่นรวมตัวเป็นสสารและกลายเป็นดาวเคราะห์ ไท่จี๋สามารถนำมาเปรียบเทียบกับบิ๊กแบงได้ ที่ใดมีไท่จี๋ สสารก็จะเกิดขึ้นด้วย และสสารเหล่านี้ได้ถูกย่อรวมลงมาเป็นห้าประเภท และเราใช้วัตถุสามัญห้าประเภทมาแทนสสารหรือพลังทั้งห้าหมวดหมู่นี้ ซึ่งก็คือ โลหะ ไม้ น้ำ ไฟ และดิน
ธาตุพื้นฐานทั้งห้าได้แก่ โลหะ ไม้ น้ำ ไฟ และดิน เป็นสัญลักษณ์ของสสารทั้งหลายในโลก ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้สามารถแบ่งออกเป็นห้าธาตุพื้นฐาน
ยกตัวอย่างเช่น อาคารเป็นธาตุดิน คนที่ทำงานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ถือว่ามีอาชีพการงานเกี่ยวกับธาตุดิน ธาตุดินยังเป็นตัวแทนของความศรัทธา ท้อง เซลล์ในร่างกาย และตำแหน่งตรงกลางอีกด้วย
เมื่อขยายความออกไปอีก เราไม่เพียงแต่เข้าใจว่าทุก ๆ สิ่งประกอบขึ้นจากธาตุทั้งห้าเท่านั้น แต่เรายังมีกฎพื้นฐานที่ควบคุมความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ดังกล่าวสื่อออกมาในรูปแบบของวงจรสองวงจร ได้แก่ วงจรกำเนิดและวงจรทำลาย
วงจรกำเนิดแสดงให้เห็นว่าธาตุหนึ่งสร้างและส่งเสริมอีกธาตุหนึ่ง เหมือนกับแม่ให้กำเนิดลูก เป็นวงจรที่แสดงความสัมพันธ์ที่สอดประสานกัน โดยประกอบด้วยโลหะสร้างน้ำ น้ำสร้างไม้ ไม้สร้างไฟ ไฟสร้างดิน และดินสร้างโลหะ เมื่อใช้สามัญสำนึกของเราในสมัยปัจจุบันทำความเข้าใจวงจรดังกล่าว เราจะพบว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะมองว่าไม้คือต้นไม้ซึ่งต้องการน้ำสำหรับการเจริญเติบโต ไม้แห้งสร้างไฟ ไฟเผาผลาญวัตถุจนกลายเป็นเถ้าถ่านซึ่งจะกลับกลายเป็นดิน ดินเป็นแหล่งที่เราพบสินแร่ต่างๆ อย่างไรก็ตาม โลหะสร้างน้ำได้อย่างไรนั้นยังเป็นเรื่องที่ไม่มีคำตอบ และจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มีคำอธิบายที่น่าพอใจ เราควรมองข้ามจุดนี้ไปเสียเพราะที่จริงแล้วแนวคิดเรื่องธาตุทั้งห้าเป็นแนวคิดที่อ้างอิงถึงพลังหรืออำนาจที่แตกต่างกันห้าประเภท และอาจจะไม่ใช่อย่างเดียวกับธาตุโลหะตามที่เรารู้จักในปัจจุบันก็เป็นได้
วงจรทำลายจะอธิบายและจดจำได้ง่ายกว่า เราสามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยากเพราะทุกอย่างเป็นไปตามสามัญสำนึก
น้ำทำให้ไฟดับ ไฟหลอมโลหะ โลหะคือขวานซึ่งโค่นไม้ให้ล้มลงมา ไม้เหมือนกับต้นไม้ รากของมันจะชอนไชลึกลงไปในดินและยึดดินเอาไว้ ส่วนเขื่อนดินมักสร้างขึ้นเพื่อสกัดกั้นน้ำไม่ให้ท่วมล้นลงมา
แนวคิดเรื่องห้าธาตุเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมจีนในทุก ๆ ด้าน เราจะพบว่าแนวคิดดังกล่าวเป็นพื้นฐานของการศึกษาทุกประเกท ทั้งด้านการแพทย์แผนโบราณของจีน ฮวงจุ้ย จตุสดมภ์แห่งโชคชะตา ชี่กง การทำนายอี้จิ้ง กังฟู ฯลฯ ดังนั้นจึงถือเป็นแนวคิดที่มีความสำคัญมากที่สุดที่เราจะต้องจดจำให้ขึ้นใจ ตารางข้างล่างนี้เป็นการสุ่มตัวอย่างของสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่สัมพันธ์กับธาตุทั้งท้า
ตารางห้าธาตุในชีวิตประจำวัน
ตารางด้านบนแสดงให้เห็นว่าธาตุทั้งห้าสามารถนำมาประยุกต์เข้ากับทุกสิ่งในชีวิต ตั้งแต่เสียงดนตรีไปจนถึงอารมณ์ ความรู้สึก อวัยวะในร่างกาย ฤดูกาล สี รสชาติ ทั้งหมดนี้สามารถแบ่งออกเป็นห้าธาตุ อันที่จริงแล้ว การศึกษาเรื่องจตุสดมภ์แห่งโชคชะตาก็คือการเรียนรู้วิธีที่จะอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ ในแง่ของธาตุทั้งห้านั่นเอง
หลังจากที่เราศึกษาเรื่องดังกล่าวแล้วเราจะพบว่าการเข้าใจในเรื่องชีวิตของคนเราจะมีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานเกิดขึ้น ทุกสิ่งที่เกิดกับเราเกิดจากปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างธาตุทั้งห้าน้อยนักที่เราจะพบอะไรก็ตามที่ใช้เรื่องธาตุทั้งห้ามาอธิบายตามหลักตรรกศาสตร์ไม่ได้
เราลองมาตรวจสอบตารางนี้ด้วยกัน แถวแรกคือเสียง หมายถึงเสียงดนตรีของจีนซึ่งมี 5 คีย์พื้นฐานแทนที่จะมี7 คีย์เหมือนดนตรีตะวันตก แต่ละคีย์แทนแต่ละธาตุ จากนั้นเรามาดูที่อารมณ์ ยกตัวอย่างเช่น ความเศร้าและความหดหู่ เป็นธาตุโลหะ เช่นเดียวกับปอดและจมูกที่อาจขยายความไปถึงอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ ลักษณะเช่นนี้ หมายความว่าความเศร้าและความเครียดสามารถทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินทายใจได้
มาดูที่ธาตุไม้ในแถวนี้กันบ้าง ไม้คือความโกรธ และมีความเกี่ยวข้องกับตับและดวงตา ชาวจีนจะเชื่อมโยงคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวว่าเป็นคนที่มีตับร้อน คนที่นอนดึกและพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ตับไม่ได้รับการพักผ่อนที่เหมาะสม ทำให้ในตอนเข้ามีอารมณ์หงุดหงิด และตาบวม ดังนั้น ตับ ดวงตา และอารมณ์โกรธจึงมีความเกี่ยวพันกันเพราะทั้งหมดนี้จัดอยู่ในธาตุไม้เหมือนกัน
เรายังสังเกตได้ว่าฤดูกาลทั้งสี่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับธาตุต่างๆ ด้วย โดยมีธาตุไม้แทนฤดูใบไม้ผลิ เพราะต้นไม้จะเจริญงอกงามในฤดูใบไม้ผลิ ไฟแทนฤดูร้อนเพราะเป็นฤดูที่มีอากาศร้อน ฤดูใบไม้ร่วงแทนด้วยธาตุโลหะเพราะบ่งชี้ถึงการร่วงหล่น ซึ่งหมายถึงต้นไม้ร่วงหล่นเมื่อโลหะตัดไม้ ฤดูหนาวอากาศหนาวเย็นดังนั้นจึงแทนด้วยสัญลักษณ์ธาตุน้ำ
ธาตุดินมีความสำคัญเสมอดังนั้นจึงมีอยู่ในทุกฤดูกาล ในตารางยังแสดงให้เห็นว่าสีและทิศสื่อถึงธาตุต่างๆ ได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้นำไปใช้ในทางฮวงจุ้ย
ยกตัวอย่างเช่น หากอาจารย์ฮวงจุ้ยแนะนำให้ใครใช้สีแดงในการตกแต่งห้องให้มาก ก็หมายความว่าดวงเกิดของคนคนนั้นจำเป็นต้องได้รับการเสริมด้วยธาตุไฟ
ใจความสำคัญของวิชานี้อยู่ที่เรื่องสุขภาพ ดังนั้นเราจะเน้นในแถวของอวัยวะภายใน ธาตุทั้งห้าแทนอวัยวะสำคัญห้าส่วนในร่างกายเรา ได้แก่ ไม้คือตับ ไฟคือหัวใจ น้ำคือไต โลหะคือปอด และดินคือท้องหรือตับอ่อน
ความเข้าใจดังกล่าวเป็นพื้นฐานของการวินิจฉัยโรคตามหลักการแพทย์แผนโบราณของจีน แนวคิดก็คือร่างกายของเราประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้งห้า เมื่อธาตุทั้งหลายสมดุลและสอดคล้องกัน ร่างกายจะมีสุขภาพดี อย่างไรก็ตามเมื่อมีความไม่สมดุลเกิดขึ้นในร่างกายเป็นไปได้ว่าธาตุใดธาตุหนึ่งที่จำเป็นอ่อนแอเกินไป หรือมีธาตุที่ไม่จำเป็นอยู่มากเกินไป ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้น
ดูเรื่องความดันโลหิตสูงเป็นตัวอย่าง หากมีใครเกิดรู้สึกว่าความดันโลหิตของตัวเองสูง ถ้าไปหาหมอจีน หมออาจจะให้ยาบำรุงไต แล้วไตเกี่ยวอะไรกับความดันโลหิตสูง แน่นอนว่าเราจะเข้าใจเหตุผลหากเราพิจารณาวงจรธาตุทั้งห้า เมื่อใครก็ตามมีอาการความดันโลหิตสูง แสดงว่าเกี่ยวข้องกับธาตุไฟ ซึ่งควบคุมหัวใจรวมไปถึงระบบหมุนเวียนโลหิต
หากเป็นคนที่มีสุขภาพดี ตามหลักวงจรทำลาย ธาตุน้ำควรจะควบคุมธาตุไฟในร่างกายได้ แต่แล้วเมื่อความดันโลหิตเกิดพุ่งสูงขึ้นโดยฉับพลัน แสดงว่าไฟอยู่นอกเหนือการควบคุม ซึ่งน่าจะเป็นเพราะธาตุน้ำอ่อนแรงเกินกว่าที่จะควบคุมธาตุไฟได้ น้ำคือไต
ดังนั้นวิธีรักษาคือต้องบำรุงไต เมื่อไตทำงานได้ตามปกติ ธาตุไฟจะอยู่ภายใต้การควบคุม และความดันโลหิตจะลดต่ำลง
ด้วยตรรกะนี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากในการอธิบายโรคภัยต่าง ๆ ด้วยธาตุทั้งห้า และเรายังสามารถหาต้นตอช่องอวัยวะที่เจ็บป่วยและจัดยาที่ถูกต้องได้อย่างง่ายตายอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาสุขภาพทั่วไปสำหรับคนเมืองคือไซนัสและลมพิษ ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในทุกวันนี้และดูเหมือนจะไม่มีการรักษาที่หายขาดในทางการแพทย์ตะวันตก ผู้ป่วยเพียงแต่ได้รับยาจำพวกยากล่อมประสาทเพื่อกดประสาทรับรู้ไว้ แต่วิธีนี้เป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น ไม่ได้เป็นการรักษาโรคโดยแท้จริง และเรายังสามารถทำความเข้าใจบัญหาสุขภาพแบบนี้ด้วยหลักของธาตุทั้งห้าอีกด้วย ประการแรกคือ เราระบุว่าทั้งไซนัสและลมพิษคือปัญหาเกี่ยวกับธาตุโลหะ ไซนัสคือจมูกซึ่งเป็นอวัยวะในการหายใจ ดังนั้นจึงเป็นธาตุโลหะ ส่วนลมพิษ ที่จริงแล้วผิวหนังคืออวัยวะในการหายใจที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายเรานั่นเอง ดังนั้นจึงมีความเกี่ยวพันกับธาตุโลหะอย่างมากด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลการเกิดของผู้หญิงหลายคนที่อยู่ในธุรกิจเกี่ยวกับความสวยงามและการบำรุงผิวพรรณนั้นมักจะมีธาตุโลหะประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อตอนนี้เราจัดให้โรคไซนัสและลมพิษเป็นโรคที่เกี่ยวกับธาตุโลหะแล้ว
เราก็สามารถเชื่อมโยงปัญหาสุขภาพนี้เข้ากับธาตุไฟได้ ธาตุไฟเป็นธาตุที่โจมตีและทำลายธาตุโลหะ ธาตุไฟแทนด้วยอะไร
ธาตุไฟก็คือระบบหมุนเรียนโลหิต หากธาตุไฟมีปัญหาก็หมายความว่ามีปัญหาที่ระบบหมุนเวียนโลหิตของเรา ที่จริงแล้วหากเลือดของเราไม่สะอาดก็จะนำพิษไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายและก่อให้เกิดความระคายเคืองที่จมูกและผิวหนัง เรายังสืบต้นตอให้ไกลออกไปได้อีกว่าสิ่งใดสร้างธาตุไฟ ซึ่งก็คือธาตุไม้ แล้วธาตุไม้คืออะไร ธาตุไม้คือตับ
ดังนั้นเราจึงยังสามารถจัดให้ปัญหาสุขภาพดังกล่าวเกี่ยวข้องกับเลือดที่สกปรกซึ่งมาจากตับ เราจะสังเกตได้ง่ายๆ เลยว่าตับเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ฟอกและผลิตเลือดใหม่ หากตับทำงานได้ไม่ดี เลือดจะไม่สะอาด ดังนั้นเลือดที่สกปรกจะนำพิษมาสู่ร่างกายของเราและทำให้เกิดภูมิแพ้ ดังนั้นการรักษาไชนัสและโรคลมพิษที่ได้ผลคือต้องเสริมสร้างการทำงานของตับ หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์และอาหารทอดมากเกินไป ซึ่งจะก่อให้เกิดพิษมากขึ้นและทำให้ตับทำงานหนัก
การทำความเข้าใจวงจรกำเนิดและวงจะทำลายของธาตุทั้งห้าจะทำให้เราสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะที่สำคัญต่างๆ และสามารถสืบหาต้นตอของโรคเพื่อให้การรักษาสุขภาพให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกหนึ่งตัวอย่างเกี่ยวกับการนำธาตุทั้งห้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน
ลองดูที่แถวล่างของตารางซึ่งเป็นเรื่องของรสชาติ รสชาติที่แตกต่างกันจะสัมพันธ์กับธาตุที่ต่างกัน เวลาที่ไปหาหมอสมุนไพรจีนหรือหมอฝังเข็ม บางครั้งหมอจีนจะถามถึงเรื่องรสอาหารที่เจาะจงเป็นพิเศษ
ข้อมูลนี้มีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคเพราะการเน้นหนักในรสชาติที่ชอบของบุคคลอาจสะท้อนว่าคนคนนั้นมีธาตุบางอย่างที่ไม่สมดุล ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนคนหนึ่งชอบของหวาน ชอบกินขนมหวานๆ เสมอ แสดงว่าร่างกายมีธาตุดินที่ไม่สมดุล เพราะธาตุดินคือรสหวาน ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนมีนาคม ปี 2005 (2548) เป็นเดือนที่ธาตุดินอ่อนแอมากเพราะธาตุดินถูกโจมตีจากนักษัตรเถาะธาตุไม้ประจำเดือนและธาตุไม้หยินประจำปี และมีผู้หญิงคนหนึ่งเล่าว่าอยู่ ๆ ก็รับรสหวานของอาหารไม่ได้ เธอไปหาหมอจีน หมอวินิจฉัยว่าตับอ่อน (ธาตุดิน) ของเธออ่อนแอ และ ให้ยาสำหรับบำรุงตับอ่อนให้แข็งแรง น่าแปลกที่ว่าทันทีที่ผ่านเดือนนั้นไป แล้วเข้าสู่เดือนเมษายนซึ่งเป็นเดือนนักษัตรมะโรง (ธาตุดิน) หญิงคนนี้บอกว่าอยู่ๆ เธอก็รับรู้รสชาติหวานได้แล้ว เพราะธาตุดินทำให้ตับอ่อนของเธอแข็งแรงขึ้นนั่นเอง
ตอนนี้เรามาดูความสัมพันธ์ของราตุทั้งห้ากับรสชาติต่างๆ ทั้งห้าเพื่ออธิบายปรากฎการณ์บางอย่างตามสามัญสำนึก ยกตัวอย่างเช่น ทุกๆ คนรู้ว่าการสูบบุหรี่จะทำลายปอด เราจะอธิบายเรื่องนี้ด้วยวงจรธาตุทั้งห้าได้อย่างไร ซึ่งง่ายมากคือการสูบบุหรี่เป็นรสชาติขม รสขมคือธาตุไฟ ธาตุไฟทำลายโลหะ และโลหะก็คือปอด
เรามักจะพูดว่าการดื่มเหล้ามากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อตับ ซึ่งสามารถนำเรื่องธาตุทั้งห้ามาอธิบายได้อย่างง่ายดาย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีรสแรง รสแรงหรือรสฉุนคือธาตุโลหะ โลหะทำลายไม้ และไม้ก็คือตับ คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับไตไม่ควรจะกินหวานเกินไป เพราะรสหวานเป็นธาตุดิน ธาตุดินทำลายธาตุน้ำ และน้ำก็คือไต
ในทำนองเดียวกัน คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ หมอมักจะห้ามไม่ให้กินเค็มมากเกินไป รสเค็มคือธาตุน้ำ น้ำทำลายไฟ และไฟก็คือหัวใจ
เราจะเห็นได้ว่าธาตุทั้งห้าเป็นแรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังทุกสิ่งในชีวิตเรา ข้อเท็จจริงที่ว่าการแพทย์แผนจีน ชี่กง การฝังเข็มมีประสิทธิภาพและนำมาใช้ได้ผล ชี้ให้เห็นความจริงเรื่องทฤษฎีธาตุทั้งห้าโดยตรง ที่จริงแล้วทฤษฎีธาตุทั้งห้าเป็นการค้นพบเรื่องธรรมชาติของจักรวาลและชีวิตที่พลิกฟื้นขึ้นมาใหม่
จตุสดมภ์ก็แห่งโชคชะตาแท้จริงคือระบบที่นำมาซึ่งความเข้าใจ พื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับอิทธิพลของธาตุทั้งห้าที่มีต่อชีวิตประจำวันของเรานั่นเอง ด้วยความเข้าใจดังกล่าว เราจะมีความเข้าใจในพฤติกรรมของเรา ในทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเราได้ในระดับที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
ปิดท้ายนี้ด้วยเรื่องราวที่เขียนเป็นนวนิยายจีนที่มีชื่อเสียงเรื่องหนึ่งคือ "ไซอิ๋ว" ซึ่งเป็นตำนานเกี่ยวกับพระถังซัมจั๋ง นักบวชในสมัยราชวงศ์ถังผู้ออกเดินทางไกลจากจีนไปยังอินเดียเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมา การเดินทางเต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย และพระถังซัมจั๋งก็ได้รับการคุ้มกันจากผู้อารักขาทั้งสาม ผู้อารักขาที่เป็นวีรบุรุษในตำนานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือไซอิ๋ว ซึ่งเป็นลิงหนุ่มคึกคะนอง วันหนึ่งไซอิ่วออกไปเล่นในอุทยานสวรรค์และกินผลไม้ล้ำค่าทั้งหมด ทำให้พระเจ้าเง็กเซียนพิโรธและส่งทหารออกตามจับ แต่ไซอิ๋วมีฤทธิ์มากและไม่มีใครกำราบได้ พระเจ้าเง็กเซียนจึงต้องขอความช่วยเหลือ โดยได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้อาวุโสที่สุดมา พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงอิทธิฤทธิ์สูงสุดและสามารถปราบไซอิ๋วได้อย่างง่ายดาย และเพื่อเป็นการสั่งสอนบทเรียนให้กับไซอิ๋ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ไซอิ๋วว่า "ไซอิ๋ว เราจะปล่อยเจ้าเป็นอิสระหากเจ้าสามารถกระโดดผ่านฝ่ามือของเราไปได้" ไซอิ๋วหัวเราะเพราะเมื่อกระโดดครั้งหนึ่งก็สามารถไปได้ไกลมาก ไซอิ๋วกระโดดตีลังกาออกไปไกลลิ่ว และหยุดที่เกาะสวยงามแห่งหนึ่งที่มีภูเขาอยู่ใจกลางเกาะ และเพื่อยืนยันว่าได้มาถึงเกาะนี้แล้ว ไซอิ๋วได้ทำร่องรอยไว้โดยปัสสาวะใส่และย้อนกลับไปหาพระพุทธเจ้า ไซอิ๋วเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง ด้วยความตื่นเต้นว่าสามารถไปได้ไกลเพียงใด และเกาะที่ไปถึงนั้นสวยงามเพียงไหน แต่พระพุทธเจ้าตอบว่า "ไซอิ๋ว เจ้าทำให้มือของเราแสบไปหมด เห็นไหม เจ้าปัสสาวะใส่นิ้วของเรา* ด้วยเหตุนี้ไซอิ๋วจึงแพ้ประลองและถูกขังอยู่ใต้ภูเขาเป็นเวลา 500 ปี...
เรื่องนี้บอกอะไรเรา นิ้วทั้งห้าบนฝ่ามือของพระพุทธเจ้าคือสัญลักษณ์แทนธาตุทั้งห้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แม้แต่ไซอิ๋ว ผู้เป็นเจ้าแห่งลิงผู้มีฤทธิ์เดชก็ยังไม่สามารถรอดพ้นจากธาตุทั้งห้านี้ได้ นี่คือกฎพื้นฐานและไม่มีใครสามารถฝ่าฝืนได้